1. สภาพแวดล้อมของเห็ด เห็ดทุกตัวต้องการความร้อนและความชื้น ในแต่ละช่วงเวลาการเจริญเติบโตไม่เหมือนกัน อันนี้มีผลโดยตรงกับการเพาะเห็ด ต่อให้สารอาหารเห็ดมีมากเพียงใด ก็ไม่ทำให้เห็ดโตได้ดีไม่เชื่อคุณก็ลองไปกินข้าวตากแดดดู คุณเองก็คงกินได้ไม่มากต่อให้อาหารอร่อย ถึงหิวจัดก็คงกินได้พออิ่มไม่ทนนั่งกินต่อนาน ๆ พืชก็เหมือนกัน เกษตรกรบางคนไม่คิดเช่นนั้น ไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะในโรงเรือนเราเคยเพาะได้ดีไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ทั้ง ๆ ที่มันมีผลโดยตรง ดังนั้นจึงโทษความผิดไปที่คนอื่นคือวัสดุเพาะหรือก้อนเพาะ แต่ไม่ดูตัวเอง การที่จะรู้ว่าเห็ดของเราในโรงเรือนของเราชอบสภาพแวดล้อมอย่างใด โรงเรือนแต่ละโรงจะเลี้ยงได้ดีไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวัสดุก่อสร้าง ขนาดของโรงเรือน
จำนวนของวัสดุเพาะในโรงเรือน ต้องมีการจดบันทึกการทำงาน ต้องซื้อเครื่องมือวัดความร้อนและความชื้น ให้รู้ว่าในระยะการเจริญเติบโตนี้ ระยะเวลาการเพาะนี้ มีความชื้นเท่าไร อุณหภูมิเท่าไร ก้อนเห็ดยี่ห้อนี้หรือวัสดุเพาะที่ผ่านการหมักมาแบบนี้ เห็ดโตได้เท่าไรให้คะแนนการโตของเราไว้ ถ้าใช้จำในใจมันไม่ได้เรื่องเพราะไม่ได้มีการเปรียบเทียบ ผลของการจดบันทึกการทำงานต้องทำใส่ลงในตารางเปรียบเทียบ เราจะเห็นผลชัดเจน พอรู้ผลแล้วเราจะสังเกตออกว่าก้อนเห็ดหรือวัสดุเพาะของเราลักษณะนี้ ต้องการความร้อนหรือความชื้นที่เท่าไร ประโยชน์
2. สารอาหารเห็ด เห็ดส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างหรือกินสารอาหารได้โดยตรง (ยกเว้น เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนู เห็ดนางรม) อาหารของเห็ดจะได้จากการย่อยสลายของสารอินทรีย์วัตถุ โดยผ่านการทำงานของเชื้อจุลินทรีย์ ในการเพาะเห็ดชนิดอื่นที่ไม่ใช่เห็ดฟาง ส่วนใหญ่อาหารเห็ดที่มีมาในถุงผู้ผลิตจะรู้อยู่แล้วว่าควรใส่อะไรเท่าไร ถึงอย่างไรการเก็บดอกในระยะแรก ๆ อาหารควรจะมีเพียงพอ ส่วนสารหมักวัสดุเพาะเห็ดฟาง หรืออาหารเสริม หรือสารช่วยเสริมที่เขาขายกัน บอกว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ มันไร้สาระ หลอกขายของเท่านั้นทำเองได้ดีกว่า เห็ดดูดซึมสารอาหารผ่านทางผนังเซลล์ คุณเคยเห็นรากเห็ดไหม มันไม่มี และสารที่สามารถกินได้มันต้องเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ เช่น กลูโคส ฟรุคโตส อันนี้เป็นน้ำตาลที่ผ่านการย่อยสลายแล้ว กลูโคสซื้อสารตรง ๆ ได้ที่ร้านขายยา พรุดโตส
อันนี้มีอยู่ในเครื่องดื่มบำรุงกำลังหรือนมเปรี้ยวบางตัวหรืออาหารเสริมของคน ต้องอ่านฉลากข้างขวดด้วยเพราะบางยี่ห้อไม่มี แต่ถึงมีก็น้อย มีบางคนก็ใช้นมข้นหวาน ขอบอกว่านมข้นหวานปัจจุบันเป็นครีมเทียมใส่น้ำตาล สิ่งที่คุณได้อย่างเดียวคือน้ำตาล ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปที่เห็ดสามารถนำมาใช้ไม่ได้โดยตรง ส่วนสารอาหารอื่น ๆ นอกจากนี้เห็ดจะกินได้ต้องมาจากการกระบวนการหมักสารอินทรีย์ เช่น ฟาง เปลือกมัน รำ มูลสัตว์ เศษผลไม้ หรือปุ๋ยยูเรียหรืออาหารเสริมอื่นเช่น ยิปซัม ปูนมานซึ่งเป็นแคลเซียม รวมความว่าตัวอื่นต้องผ่านการหมักทั้งนั้น ซึ่งจะมีอยู่แล้วในถุงเพาะ แล้วแต่ว่าเจ้าไหนจะใส่อะไรมากน้อยเพียงไร เราไม่มีโอกาสรู้นอกจากจะลองเพาะไปพร้อม ๆ กันหลายยี่ห้อแล้วดูว่าในสภาพแวดล้อมอย่างนี้สำหรับกับแต่ละคนเท่านั้น ยี่ห้อนี้ใช้ได้ดี ส่วนฮอร์โมนซึ่งใช้เป็นสารกระตุ้นการเจริญเติบโตนั้น จะเป็นสารในกลุ่ม auxin ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการขยายขนาดของเซลล์ ซึ่งมีสารสงเคราะห์ขายอยู่มาก ได้แก่ NAA IBA 4-CPA 2,4-D ให้ซื้อสารตรงใช้เลยไม่ต้องซื้อที่เขาเอามาผสมขาย เพราะการใช้จะได้ผลดีหรือไม่จะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นหรือปริมาณที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับชนิดของเห็ด สภาพแวดล้อมของเห็ด ระยะการเติบโตของเห็ด ซึ่งการซื้อสารที่เขาผสมมาขายเขาจะใช้ปริมาณปานกลาง ซึ่งไม่แน่ว่าจะดีสำหรับเห็ดเสมอไปแล้วแต่ดวง ต้องมาลองใช้ในที่ความเข้มข้นต่าง ๆ เองเหมือนกัน แต่จากประสบการของผม ผมใช้ EM ซึ่งได้จากการหมักเศษผลไม้กับกากน้ำตาล การใช้ EM จะมีจุลินทรีย์อื่นปนเปื้อนอยู่ด้วย ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงในเรื่องของการติดเชื้อก้อนเห็ด ต้องใช้ในปริมาณน้อยมาก แต่ถ้าในเห็ดฟางยิ่งใช้มากยิ่งดีมากใช้มากเท่าไรก็ดีเท่านั้น เพราะถ้าเชื้อเห็ดยังแข็งแรงดีอยู่มันก็รบชนะและใช้สารอาหารใน EM ซึ่งถูกย่อยสลายไว้แล้วได้ตรง ๆ เรียกว่าเราเคี้ยวให้แล้วพี่แค่กินอย่างเดียว ถ้าแพ้ก็รื้อทิ้งทำใหม่หรือทำซ้ำในวัสดุเพาะเดิมก็แค่นั้นไม่ต้องกลัวเรื่องต้องซื้อก้อนเชื้อใหม่
ส่วนขั้นตอนการเลี้ยงดูในทุกเห็ดใช้หลักการเดียวกัน การทำวัสดุเพาะจะมีความยุ่งยากตรงต้องทำให้เป็นเท่านั้น ซึ่งการเพาะเห็ดอื่นข้อยุ่งยากนี้เรายกให้เป็นหน้าที่ของผู้ขายก้อนเพาะ ซึ่งเราก็ต้องจ่ายค่าทำให้กับเขา มาต่อเรื่อง EM สำหรับวิธีใช้อีกอย่างก็คือ นำ EM ที่ได้จากการหมัก มากรองให้ได้น้ำประมาณ 2 ลิตร แล้วมานึ่งในหม้อนึ่งอาหาร(ซึ้งนึ่ง) ให้จับเวลาตั้งแต่เดือดนาน 2 ชั่วโมง โดยพอน้ำเดือดแล้วให้ลดไฟลงในขนาดที่พอให้น้ำเดือนอยู่ตลอดเวลาคือมีไอน้ำออกมานอกซึ้งนึ่งตลอด ต้องใส่น้ำให้มากพออย่าให้น้ำแห้ง EM ที่ผ่านการนึ่งจะไม่ปนเปื้อนมากนัก แต่ก็จะสูญเสียสารอาหารที่เป็นสารประกอบของไนโตรเจน ซึ่งเป็นสารที่ใช้สังเคราะห์โปรตีนเพื่อการเจริญเติบโตในเห็ด แต่สำหรับตัวอื่น ๆ เช่น สารประกอบของคาร์บอน จำพวกน้ำตาล รวมทั้งฮอร์โมนและสารอาหารรองตัวอื่น ๆ ที่ได้จากเศษผลไม้ไม่สุญเสียไปมากนัก การใช้ EM ที่หมักจากเศษผลไม้จะให้ผลได้ดีกว่าซื้อฮอร์โมนหรือยากระตุ้นหรือยาเร่งโตมากนัก และถ้ายังไม่พอใจก็ผสม NAA ลงไปในความเข้มข้นต่าง ๆ ลงไป ทดลองดูว่าความเข้มข้นไหนสำหรับเรามันดี ขอย้ำว่าดีสำหรับวิธีการทำงานของเราเท่านั้นแต่ละคนใช้ความเข้มข้นไม่เหมือนกัน ผมเองก็ยังเคยคิดที่จะทำขายเลย แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ทำเพราะมันเป็นการเอาเปรียบคนไม่รู้ เกษตรกรไทยเรายิ่งจนอยู่แล้วเพราะความไม่รู้ กลัวบาป(การกระทำที่ทำให้ผู้อื่นหรือตัวเองรู้สึกไม่ดี บาปไม่ใช้การการทำชั่วเสมอไป บางครั้งการทำสิ่งไม่ดีแต่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อนและไม่ได้ทำให้ตัวเองทุกข์ใจ ก็ไม่ได้เรียกว่าบาป เช่นการโกหกเมียว่าไม่ได้กินเหล้า พูดให้เมียสบายใจไม่บาป แต่ตัวเองต้องทุกข์กับการกิน อันนี้บาป แต่ชอบ) แต่ผมไม่กินนะครับ เสียดายตังส์ ลองนำไปใช้ดูนะครับ เดี๋ยวผมจะเอาเรื่อง "การโรยเชื้อเห็ด"เป็นเรื่องต่อไปพอแค่นี้ก่อนนะครับ เอวังด้วยประการฉะนี้แล
ขอขอบคุณ :angtylove2.blogspot.com/